| บทคัดย่อ |
การวิจัย เรื่องการเปรียบเทียบความพร้อมในการจัดการศึกษาระหว่างสถานศึกษาในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น:สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยี ของสถานศึกษาในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) เพื่อเปรียบเทียบความพร้อมในการจัดการศึกษาสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยี ระหว่างสถานศึกษาในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณโดยสอบถามครั้งนี้ ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษา ครูผู้สอน และผู้เรียน ในจังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 860 คน สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ผู้ให้ข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ คือผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษา ครูผู้สอน และผู้เรียน ซึ่งโรงเรียนที่ใช้เก็บข้อมูล ได้แก่ โรงเรียนขนาดใหญ่ โรงเรียนขนาดกลาง และโรงเรียนขนาดเล็ก ของสถานศึกษาในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 6 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนวิทยานุกูลนารี โรงเรียนเมืองกลาง โรงเรียนบ้านเนินคนธา จำนวนผู้บริหารสถานศึกษาและคณะกรรมการสถานศึกษา 30 คน ครูผู้สอน 50 คน และนักเรียน 350 คน และโรงเรียนเทศบาล 3 โรงเรียนบ้านศรีมงคล และโรงเรียนเทศบาลบ้านสักงอย จำนวนผู้บริหารสถานศึกษาและคณะกรรมการสถานศึกษา 30 คน ครูผู้สอน 50 คน และนักเรียน 350 คน รวมทั้งสิ้น 860 คน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาที่ได้จากการสัมภาษณ์
ผลวิจัยพบว่า
1) ด้านบริบท ได้แก่ความพร้อมเกี่ยวกับสภาพทั่วไป ที่ตั้งของโรงเรียน สภาพความร่วมมือ และแหล่งเรียนรู้ในชุมชน เมื่อประเมินและเปรียบเทียบความพร้อมในการจัดการศึกษาสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยีมีความแตกต่างกันทั้งในภาพรวมและรายด้านแต่พบว่าเป็นความแตกต่างในทางที่ดีอาจเนื่องมาจากระหว่างสถานศึกษาสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการกำหนดนโยบายระบบการบริหารงานที่แตกต่างกัน
2) ด้านปัจจัยเบื้องต้น ได้แก่ ความพร้อมของครูผู้สอน ผู้บริหาร อาคาร สถานที่ หลักสูตร สื่อและอุปกรณ์การเรียนรู้ และงบประมาณ เมื่อประเมินและเปรียบเทียบความพร้อมในการจัดการศึกษาสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยีมีความแตกต่างกันทั้งในภาพรวมและรายด้าน แต่พบว่าเป็นความแตกต่างในทางที่ดีอาจเนื่องมาจากระหว่างสถานศึกษาสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการกำหนดนโยบาย และสภาพปัญหาที่แตกต่างกันที่
3) ด้านกระบวนการ ได้แก่ ความพร้อมของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้บรรยากาศการเรียนรู้ การบริหารจัดการ การประกันคุณภาพการศึกษา เมื่อประเมินและเปรียบเทียบความพร้อมในการจัดการศึกษาสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยีมีความแตกต่างกันทั้งในภาพรวมและรายด้าน แต่พบว่าเป็นความแตกต่างในทางที่ดีอาจเนื่องมาจากระหว่างสถานศึกษาสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการกำหนดนโยบาย โครงการจัดการ งบประมาณ ที่แตกต่างกัน
4) ด้านผลผลิต ได้แก่คุณลักษณะของผู้เรียนตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรสถานศึกษา และความพึงพอใจของผู้ใช้ ความสัมพันธ์กับชุมชน เมื่อประเมินและเปรียบเทียบความความพร้อมในการจัดการศึกษาสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยีมีความแตกต่างกันทั้งในภาพรวมและรายด้าน แต่พบว่าเป็นความแตกต่างในทางที่ดีอาจเนื่องมาจากระหว่างสถานศึกษาสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการกำหนดนโยบาย และรูปแบบการจัดการศึกษาที่แตกต่างกัน
ส่วนแนวทางในการพัฒนาในการเตรียมความพร้อมในการจัดการศึกษาสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยี ระหว่างสถานศึกษาสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรเตรียมพร้อมดังนี้
1) ครูต้องจัดทำแผนจัดการเรียนรู้ ก่อนสอนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
2) ครูต้องจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการที่สอดคล้องกับหลักสูตร
3) ในการจัดการเรียนการสอนแต่ละครั้งครูต้องเตรียมเครื่องมือ และจัดหาสื่อ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการสอน และฝึกทักษะ
4) ครูควรจัดบรรยากาศในห้องฝึกงานที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
5) เมื่อนักเรียนมีปัญหาในการเรียน ครูควรใช้โครงงานเป็นเครื่องมือช่วยในการแก้ไขปัญหาของผู้เรียน
6) ในการจัดการเรียนการสอนแต่ละครั้งครูต้องเตรียม วัสดุฝึกให้พร้อม
7) มีแผนการสอนแบบบูรณาการ และสามารถปฏิบัติการสอนได้จริง
8) มีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และเน้นทักษะ
9) มีสื่อที่ทันสมัย หลากหลาย และสอดคล้องกับบทเรียน
10) มีการประเมินผู้เรียนตามสภาพจริง
11) ครูจัดบรรยากาศการเรียนรู้ในลักษณะเพื่อนช่วยเพื่อน การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม มีกิจกรรมที่หลากหลาย เน้นฝึกทักษะ
12) มีกิจกรรมที่ส่งเสริมผู้เรียนตวามความต้องการหรือความสนใจของผู้เรียน
13) มีการสอนที่สามารถเชื่อมโยง หรือบูรณาการกับหลายๆศาสตร์
14) ครูต้องพัฒนาสื่อการสอนให้เหมาะสมเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
15) มีการส่งเสริมให้ครูจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความสามารถของผู้เรียน ส่งเสริมให้ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการ
16) ครูต้องมีความสามารถในการใช้สื่อและเทคโนโลยี
17) มีการประเมินผลการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับสภาพกานเรียนรู้
The objectives of this study were to evaluate and to compare the readiness in provision of education concerning the Learning Area of Career and Technology between the schools under the basic education commission and the schools under the local government. The research employed mixed methods design in which the quantitative and qualitative data were collected. Regarding the quantitative data, the questionnaires were distributed to 860 subjects, including school’s directors, teachers, and students. The statistics used were means, standard deviation, and ttest. For the qualitative data, the researcher interviewed school’s directors, school boards, teachers, and students from 6 schools ranging from big, medium, and small size schools which were under the basic education commission, namely Wittayanukulnaree school, Muangklang school, Ban Noen Khontha school, and the schools under the local government, namely Chanwittaya school, Ban Srimonkol school, and Ban Sak-ngoi school. Among these 6 schools, the participants were 30 school’s directors and school’s boards, 50 teachers, and 350 students from Wittayanukulnaree school, Muangklang school, and Ban Noen Khontha school. Meanwhile, 30 school’s directors and school’s boards, 50 teachers, and 350 students were from Chanwittaya school, Ban Srimonkol school, and Ban Sak-ngoi school. Accordingly, the total number of the participants was 860. Thereafter, the qualitative data obtained from the interview was analyzed and interpreted through its emerging contents.
The findings are as follows :
1) The readiness in terms of the school’s contexts between the schools under the basic education commission and the local government i.e., school’s physical surroundings, community involvement, and local learning sources was different both in the overall and in individual aspect. However, it was a positive difference which might be caused by the diversity of school’s policy and the management system among them.
2) The readiness in terms of the basic factors i.e., teacher’s readiness, school’s director, visual aids and equipments, school’s infrastructure, school’s curriculum, and budget was different both in the overall and in individual aspect. This might be the result of the difference of school’s policy and characteristics of the problems among them.
3) The readiness in terms of the processes i.e., readiness of learning management, learning contexts, management system, and quality assurance was different both in the overall and individual aspect. Nevertheless, it was a positive difference that might be resulted from the difference of school’s policy, management structure, and budget among them.
4) The readiness in terms of the output i.e., favorable attitudes according to school’s objectives, employee’ satisfaction, and relationship between school and community was different both in the overall and individual aspect. It was, even so, a positive difference that might be resulted from the difference of school’s policy and educational management among them.
Further suggestions and recommendations for schools under the basic education commission and the schools under the local government are as follows
1) The teacher should prepare the lesson plan weekly.
2) The teacher should prepare an integrated lesson plan correlating with the curriculum.
3) The teacher should beforehand prepare materials, equipments, and visual aids that are necessary to the learning and skill practice.
4) The teacher should manage the workshop’s atmosphere contributing to the effective learning.
5) Once the students face the problems in learning, the teacher should expectedly apply project-based learning to help solving the problems.
6) Before a class begins, the teacher should supply all the materials and equipment needed for skills practice.
7) The teacher should initiate an integrated lesson plan and develop them to become more practical.
8) The teacher should employ learner-centered technique with a focus on skills practice.
9) The teacher should offer various kinds of up-to-date equipments that relevant to the lessons.
10) The teacher should use an authentic assessment.
11) The teacher should create the peer-assisted learning atmosphere, promote teamwork skills, and provide a wide range of activities with a special focus on skill practice.
12) The teacher should manage activities suitable to individual learner’s needs and interests.
13) The learning should be integrated with other disciplines.
14) The teacher should initiate and develop the learning materials and innovations constructively.
15) The teacher should be encouraged to do the lesson plans that appropriate to learners’ capacities and to offer integrated leaning activities.
16) The teacher should be able to apply technology to the learning.
17) The assessment and evaluation should be relevant to the learning contexts.
|
|---|
