| บทคัดย่อ |
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการวิจัยและนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนของครูมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ด้วยโจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานเพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อพัฒนาครูและนักศึกษาที่จะเป็นมาของท้องถิ่นให้มีทักษะด้านการวิจัยจากโจทย์ปัญญาภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างมีคุณภาพ เป็นระบบ และสามารถกระจายสู่การศึกษาระดับโรงเรียนรวมทั้งชุมชนในท้องถิ่น พัฒนาและแก้ปัญหาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน จากการใช้งานผลงานวิจัยจุดปัญหาภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้นพัฒนาหลักสูตรมาตรฐานที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยพัฒนางานวิจัยเครือข่ายที่มีประโยชน์ในการพัฒนาท้องถิ่นพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบมีคุณภาพพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนของครูมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ด้วยโจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานเพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยตามลำดับดังนี้ 1. จัดทำหนังสือขอความอนุเคราะห์/แจ้งหน่วยงานและเชิญชวนคณาจารย์เข้าร่วมการวิจัยซึ่งมีผู้ร่วมการวิจัยจำนวน 68 คน เครื่องมือที่ใช้นี้มี 2 ชนิดคือแบบบันทึกขอเชิญเข้าร่วมโครงการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการวิจัยและนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนของครูมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ด้วยโจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานเพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยผู้วิจัยดำเนินการด้วยตนเองการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การนับเป็นจำนวนคุณและจำแนกเป็นกลุ่มโดยใช้ค่าความถี่ค่าร้อยละ 2. จัดอบรมผู้ร่วมการวิจัยจำนวน 68 คนเครื่องมือที่ใช้ในการอบรมคือหลักสูตรการพัฒนาทักษะและการวิจัยโดยใช้โจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นเมืองมะขามหวานเพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดำเนินการอบรมเชิงปฏิบัติการเป็นเวลา 3 วันคือระหว่างวันที่ 4 ถึง 6 มิถุนายน 2555 ณ ห้อง 1225 อาคารครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ 3. มอบหมายงานเพื่อให้ผู้เข้าร่วมการวิจัยได้ใช้ทักษะการวิจัยโดยใช้โจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานเพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อมูลในสภาพจริง 4 อบรมเชิงปฏิบัติการตามหลักสูตรเรื่องโจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานเพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเทคนิคการจัดเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพในระหว่างวันที่ 7 ถึง 9 มิถุนายน 2555 ณ ห้อง 1225 อาคารครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ผู้เข้าร่วมการอบรมเป็นผู้ร่วมการวิจัยจำนวน 68 คนเครื่องมือที่ใช้ในการอบรมคือหลักสูตรเรื่องโจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานเพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเทคนิคการจัดเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ 5 ผู้ร่วมวิจัยใช้ทักษะการวิจัยโดยใช้โจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานเพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลในสภาพจริงในระหว่างวันที่ 7 มิถุนายน-1 กรกฎาคม 2555 6 นำเสนอข้อมูลและวิธีการที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในระหว่างวันที่ 4-6 กรกฎาคม 2555 ณ ห้อง 1225 อาคารครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ 7 นำผลการศึกษาวิจัยจากนักศึกษาชั้นปีที่ 4 มาวิเคราะห์ประเมินความสำคัญของผลที่ได้เพื่อใช้เป็นแนวทางการวิจัยต่อยอดและนำผลการเรียนรู้ทักษะการคิดในเชิงวิจัยของนักศึกษาในแต่ละชั้นปีมาวิเคราะห์ประเมินผลการพัฒนาและทักษะด้านการวิจัยกระบวนการคิดวิจัยที่นักศึกษาได้ทำจริงตามระดับชั้นเพื่อสรุปเป็นผลการวิจัยในด้านการพัฒนาหลักสูตรพัฒนาครู(นักศึกษา) 9เปรียบเทียบผลการเรียนรู้ของนักศึกษาแต่ละหลักสูตรภายในมหาวิทยาลัยเพื่อสรุปเป็นผลวิจัยเชิงคุณภาพของการจัดการในแผนการสอน10สร้าง/นำเสนอนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนของครูมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ด้วยโจทย์ภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานเพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผู้วิจัยจัดอบรมเชิงปฏิบัติการตามหลักสูตรเรื่องการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนของครูมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ด้วยโจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานเพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระหว่างวันที่ 7-9 สิงหาคม 2555 ณ ห้อง 1225 อาคารครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ผู้เข้ารับการอบรมเป็นผู้ร่วมการวิจัยจำนวน 68 คนเครื่องมือที่ใช้ในการอบรมคือหลักสูตรเรื่องการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนของครูมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ด้วยโจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานเพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สรุปผลการวิจัย
ผู้วิจัยสรุปข้อค้นพบตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้
1. มีผู้ร่วมการวิจัยจำนวน 68 คน จำแนกเป็นคณาจารย์จำนวน 40 คน และนักศึกษาระดับมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต (ซึ่งเป็นข้าราชการในโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา) จำนวน 28 คนรวมทั้งนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่กับคณาจารย์ที่ร่วมดำเนินการวิจัยซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1จำนวน คน นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวน 191 คนนักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวน 79 คนนักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 10 คน
2. ผลการพัฒนาครูและนักศึกษาที่จะเป็นครูของท้องถิ่นให้มีทักษะด้านการวิจัยจากโจทย์ปัญหาภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างมีคุณภาพเป็นระบบและสามารถกระจายสู่การศึกษาระดับโรงเรียนรวมทั้งชุมชนในท้องถิ่นปรากฏดังนี้
ผู้ร่วมวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งที่ 1 พบว่าผู้ร่วมวิจัยส่วนใหญ่เก็บข้อมูลจาก 100 จำนวน 16 คนคิดเป็นร้อยละ 36.20 และข้อมูลยังไม่น่าเชื่อถือจำนวน 42 คน คิดเป็นร้อยละ 80 และมีข้อคิดเห็น/ ข้อเสนอแนะให้หาข้อมูลเพิ่มจากเอกสารและบุคคล
ในการเก็บรวบรวมครั้งที่ 2 พบว่าผู้ร่วมวิจัยส่วนใหญ่เก็บข้อมูลมากกว่า 3 แรงขึ้นไปจำนวน 68 คนคิดเป็นร้อยละ 100.00 และมีข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะให้พิจารณาแหล่งข้อมูลรวมทั้งความน่าเชื่อถือของข้อมูล
นักศึกษาการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งที่ 1 พบว่านักศึกษาส่วนใหญ่เก็บข้อมูลจาก 2 แรงจำนวน 50 คนคิดเป็นร้อยละ 30.0 และข้อมูลยังไม่น่าเชื่อถือจำนวน 105 คนคิดเป็นร้อยละ 64.40 และมีข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะเพื่อหาข้อมูลเพิ่มจากเอกสารและบุคคล
การเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งที่ 2 พบว่านักศึกษาส่วนใหญ่เก็บข้อมูลจาก 3 แหล่งจำนวน 54 คน คิดเป็นร้อยละ 33.10 และข้อมูลที่น่าเชื่อถือจำนวน 163 คนคิดเป็นร้อยละ 100.00 และมีข้อคิดเห็น/ ข้อเสนอแนะว่าควรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อสรุปองค์ความรู้ที่ได้รับ
การพัฒนาทักษะด้านการวิจัยจากจุดปัญหาภูมิปัญญาท้องถิ่น: ทักษะการตั้งโจทย์วิจัยสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่สามารถตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ General ได้ในครั้งที่ 2 จำนวน 109 คิดเป็นร้อยละ 50.00 ที่สามารถตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ General ได้ในครั้งที่ 3จำนวน 27 คนคิดเป็นร้อยละ 100 ตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ specific ในครั้งที่ 1 จำนวน 1 คนคิดเป็นร้อยละ 0.50 ตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ specific ในครั้งที่ 2 จำนวน 150 คนคิดเป็นร้อยละ 69.10 ตั้งโจทย์วิจัยได้ ในระดับ specific ในครั้งที่ 3 จำนวน 64 คนคิดเป็นร้อยละ 98.50 ตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ Key Question ได้ในครั้งที่ 1 จำนวน 1 คนคิดเป็นร้อยละ 0.50 ตั้งศูนย์วิจัยได้ระดับ Key Question ได้ในครั้งที่ 2จำนวน 112 คนคิดเป็นร้อยละ 51.60 10 ตั้ง โจทย์วิจัยได้ระดับKey Questionได้ในครั้งที่ 3 จำนวน 38 คนคิดเป็นร้อยละ 17.50
นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับระบุโจทย์วิจัย(Key Question)ในครั้งที่ 1 จำนวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 20.2 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับ ระบุโจทย์วิจัย(Key Question)ในครั้งที่ 2 จำนวน 15 คนคิดเป็นร้อยละ 18.9 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับระบบวิจัย(Key Question)ในครั้งที่ 3 จำนวน 44 คนคิดเป็นร้อยละ 55.7
นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายในครั้งที่ 1 จำนวน 20 คนคิดเป็นร้อยละ 25.3 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายในครั้งที่ 2 จำนวน 17 คนคิดเป็นร้อยละ 21.5 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายในครั้งที่ 3 จำนวน 42 คนคิดเป็นร้อยละ 53.2
นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งสมมติฐาน (Hypothesis) ในครั้งที่ 1 จำนวน 28 คนคิดเป็นร้อยละ 35.4 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งสมมติฐาน(Hypothesis)ในครั้งที่ 2 จำนวน 32 คนคิดเป็นร้อยละ 40.4 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งสมมติฐาน (Hypothesis)ในครั้งที่ 3 จำนวน 19 คนคิดเป็นร้อยละ 24.1
นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการ (methods)ในครั้งที่ 1 จำนวน 15 คนคิดเป็นร้อยละ 18.9 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการ(methods)ในครั้งที่สองจำนวน 35 คนคิดเป็นร้อยละ 44.3 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการ(methods)ครั้งที่ 3 จำนวน 28 คนคิดเป็นร้อยละ 35.4
นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับผลที่ได้/ข้อมูล(Results) ในครั้งที่ 2 จำนวน 41 คนคิดเป็นร้อยละ 51.9 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับผลที่ได้/ข้อมูล (Results)ในครั้งที่ 3 จำนวน 30 คนคิดเป็นร้อยละ 37.3
นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการแปลความหมายข้อมูล (discussions,evaluation) ในครั้งที่ 1 จำนวน 5 คนคิดเป็นร้อยละ 6.3 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการแปลความหมายข้อมูล(discussions,evaluation)หลายครั้งที่ 2 จำนวน 40 คนคิดเป็นร้อยละ 50.63 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการแปลความหมายข้อมูล (discussions,evaluation)ในครั้งที่ 3 จำนวน 34 คนคิดเป็นร้อยละ 43.0
นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการข้อสรุป (conclusion) ในครั้งที่ 1 จำนวน 9 คนคิดเป็นร้อยละ 11.4 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับข้อสรุป(conclusion)ในครั้งที่ 2 จำนวน 45 คนคิดเป็นร้อยละ 56.9 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับข้อสรุป (conclusion)ในครั้งที่ 3 จำนวน 25 คนคิดเป็นร้อยละ 13.6
3. ผลการพัฒนาและแก้ไขปัญหาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนจากการใช้ผลงานวิจัยโจทย์ปัญหาภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้น
ได้ดำเนินการวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาท้องถิ่นดังนี้
1) การพัฒนามะขามหวานให้เป็นเอกลักษณ์ของคนเพชรบูรณ์
2) การศึกษาภูมิปัญญามะขามหวานสำหรับนักกีฬา
3) องค์ความรู้เกี่ยวกับมะขามหวานเพื่อการสืบค้นในการศึกษาเรียนรู้
4) การสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมะขามหวาน
5) การสร้างเครือข่ายหรือเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมะขามหวาน
6) แนวทางการสร้างจิตสำนึกให้คนรุ่นใหม่อนุรักษ์มะขามหวาน
7) การศึกษาผลิตภัณฑ์มะขามหวานเพื่อการค้า
8) การพัฒนาสำนึกรักท้องถิ่นเพื่อภูมิปัญญามะขามหวาน
9) ผลิตภัณฑ์แปรรูปมะขามหวาน
10) การแปรรูปมะขามหวาน
4. การพัฒนาหลักสูตรมาตรฐานที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยพบว่าเป็นการนำองค์ความรู้เรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานเพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
5. ยังไม่มีการดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนางานวิจัยเครือข่ายที่มีประโยชน์ในการพัฒนาท้องถิ่นพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบมีคุณภาพ
6. นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนของครูมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ด้วยโจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวาน นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนของครูมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ด้วยโจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวาน เพื่อรองรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มี 3 ส่วนคือการนำโจทย์วิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานเพื่อรอรับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเป็นเนื้อหาประกอบการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน/ นักศึกษาการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นและการพัฒนารายวิชาเพิ่มเติม
The purposes of this research were as follows: 1) to develop teachers and student teachers in the local area to have research skills by using local wisdom; 2) to develop and durably solve the local problems by applying the research result derived from local wisdom; 3) to develop standard-based curriculum in accordance with the university’s identity; 4) to develop research network suitable to local development; 5) to develop teaching innovation suitable for teachers at Phetchabun Rajabhat University to support Asean Economic Community. There were 68 participants in this research. The participants were trained with three-day lessons in conducting research and practised raising research question concerning sweet tamarind between June 4-6, 2012 at the Faculty of Education, Phetchabun Rajabhat University. Furthermore, they were trained with qualitative data collecting between June 7-9, 2012 at the Faculty of Education, Phetchabun Rajabhat University. The participants collected the data between June 7 to July 1, 2012 and they presented the data and methods in collecting data between July 4-6, 2012 at Phetchabun Rajabhat University. The data were collected from workshop and activities in research skills practice. The quantitative data were analysed by using frequency and percentage and the qualitative data were conducted content analysis.
Research Results
The research results were as follows:
1. There were 68 participants in this research, 40 teachers and 28 graduate students. Furthermore, 191 students also participated in this research
2. Concerning the development of research skills of teachers and student teachers, the research results showed that 26 participants or 36.20 percent collected data from 1 source and data were not reliable. 42 participants or 46.80 suggested that data should be collected from more than one source, especially reliable document and persons.
For the second time in data collecting, 68 participants or 100 percent were able to collect data from more than 3 sources and the suggestion showed that the reliability of data should be checked.
According to undergraduate students, 50 students or 30.70 percent collected data from 2 sources and the data is not reliable. 105 students or 64.40 percent suggested that data should be collected from reliable document and persons
For the second time in data collecting, 54 students or 33.10 collected data from 3 sources and the reliability of data was accepted. 163 students or 100 percent suggested that data analysis and synthesis techniques should be applied in analyzing data.
Relating to the development of research skills derived from local problems, 80 or 36.90 percent of the second-year students had the skill in raising research questions at the General Level for the first time; 109 students or 50.20 percent could raise research questions at the General Level for the second time; and 27 students or 100 could raise research questions at the General Level for the third time. 1 student or 0.05 percent could raise research questions in the first time at the specific level; 150 students or 69.10 percent of the students could raise research questions at the specific level for the second time; 64 students or 98.50 percent of students could raise research questions in the third time.
1 student or 0.50 percent of students could raise research questions at the key question level in the first time; 112 students or 51.60 percent could raise research questions at the key question level for the second time and 67 students or 31.90 percent could raise research questions at the key question level for the third time. There were 38 students or 17.50 percent of the students could not raise research questions in the third time.
16 students or 20.2 percent of students could raise research questions at the key question level in the first time; 15 students or 18.9 percent could raise research questions at the key question level for the second time and 44 students or 55.7 percent could raise research questions at the key question level for the third time.
Relating to the research methods skills, 20 students or 25.3 percent of students had research skill in goal setting; 17 students or 21.5 percent had it in the second time and 42 students or 53.2 percent had it in the third time.
28 students or 35.4 percent of the student had research skills in formulating research hypothesis in the first time; 32 student or 40.4 percent of the student had research skills in formulating research hypothesis in the second time; 19 students or 24.1 percent of students had research skills in formulating research hypothesis in the third time.
15 student or 18.9 percent of the student had research skills in research methods in the first time; 35 students or 44.3 percent of had research skills in research methods in the second time; 28 students or 35.4 percent of the student had research skills in research methods in the third time
8 students or 10.1 percent of the student had research skills in research results in the first time; 41 students or 51.9 percent had research skills in research results in the second time; 30 students or 37.3 percent had research skills in research results in the third time.
5 students or 6.3 percent of the student had research skills in research discussion and evaluation in the first time; 40 students or 50.63 percent had research skills in research results in the second time; 34 students or 43.0 percent of the student had research skills in research results in the third time.
9 students or 11.4 percent of the student had research skills in research conclusion in the first time; 45 students or 56.9 percent of the students had research skills in research conclusion in the second time; 25 students or 13.6 percent of the students had research skills in research conclusion in the third time.
3. The development of students’ research skills showed that they could bring the research skill in conducting research as follows:
1) A development of tamarind to be an identity of Phetchabun people
2) A study of local wisdom in sweet tamarind for sports
3) An information retrieval and knowledge about sweet tamarind
4) A synthesis of research related to sweet tamarind
5) Creating Network and Knowledge Distribution on Sweet Tamarind
6) Stimulate an awareness of sweet tamarind preservation for the new generation
7) A development of sweet tamarind as commercial products
8) Cultivate a sense of hometown love with sweet tamarind wisdom
9) Sweet tamarind products
10) Sweet tamarind preservation
4. Relating to a development of standard-based curriculum in accordance with the university’s identity, it was found that knowledge concerning sweet tamarind could be used as a part of the course provided at the Faculty of Education, Phetchabun Rajabhat University.
5. There was no research network systematically, qualitatively and sustainably developed.
6. For teaching and learning innovation, they were consisted of three parts: application of knowledge derived from research on sweet tamarind in class; development of local based curriculum and development of course concerning sweet tamarind.
|