| บทคัดย่อ |
การวิจัยเรื่อง การวิจัยพัฒนาครูมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวาน เป็นการวิจัยประเภทการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาครูและนักศึกษาที่จะเป็นครูของท้องถิ่นให้มีทักษะด้านการวิจัยจากโจทย์ปัญหาภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างมีคุณภาพ เป็นระบบ และสามารถกระจายสู่การศึกษาระดับโรงเรียน รวมทั้งชุมชนในท้องถิ่น 2. พัฒนาและแก้ปัญหาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน จากการใช้ผลงานวิจัยโจทย์ปัญหาภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้น 3. พัฒนาหลักสูตรมาตรฐานที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย 4. พัฒนางานวิจัยเครือข่ายที่มีประโยชน์ ในการพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ มีคุณภาพ ผู้ร่วมการวิจัยเป็น คณาจารย์ในหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต กลุ่มพื้นฐานการศึกษา จำนวน 1 คน กลุ่มวิชาวัดผลและประเมินผล จำนวน 1 คน โปรแกรมวิชาภาษาอังกฤษ จำนวน 1 คน และโปรแกรมวิชาคณิตศาสตร์ จำนวน 1 คน รวมทั้งสิ้น 4 คน นักศึกษาที่ร่วมวิจัยเป็น นักศึกษาระดับปริญญาตรีในหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต โปรแกรมวิชาการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 4 โปรแกรมวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 ,3 และ 4 โปรแกรมวิชาภาษาอังกฤษชั้นปีที่ 1 และโปรแกรมวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 จำนวน 307 คน เป็นผู้ปฏิบัติการในโครงการวิจัย เป็นผลผลิตของโครงการวิจัยในด้านการพัฒนาบุคลากรที่ได้รับการพัฒนาทักษะการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด คือ 1. แบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น 2. แบบสัมภาษณ์เพื่อพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวาน 3. แบบฝึกทักษะการวิจัย เรื่องการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวาน ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากผลการประชุมเชิงปฏิบัติการ การสัมภาษณ์และการปฏิบัติกิจกรรมตามแบบฝึกทักษะการวิจัยและรวบรวมข้อมูลจากผู้ร่วมวิจัย วิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลจากการประชุมเพื่อพัฒนาทักษะการวิจัยของผู้วิจัย ผู้ร่วมวิจัยและกลุ่มตัวอย่าง นำข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุปเนื้อหา ข้อมูลจากแบบสอบถาม นำมาวิเคราะห์ค่าความถี่และค่าร้อยละ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์นำมาสรุปผลเป็นรายบุคคลและเป็นความถี่ ค่าร้อยละในภาพรวมและ ข้อมูลจากแบบฝึกทักษะการวิจัยฯ นำมาสรุปเป็นรายบุคคลและเป็นความถี่ ค่าร้อยละในภาพรวม สรุปผลการวิจัย ผู้วิจัยสรุปข้อค้นพบตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. การพัฒนาครูและนักศึกษาที่จะเป็นครูของท้องถิ่นให้มีทักษะด้านการวิจัยจากโจทย์ปัญหาภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างมีคุณภาพ เป็นระบบ และสามารถกระจายสู่การศึกษาระดับโรงเรียน รวมทั้งชุมชนในท้องถิ่น พบว่า จังหวัดเพชรบูรณ์มีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เด่นชัดที่สุด คือ มะขามหวาน มีภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับมะขามหวานที่เด่นชัดที่สุด มะขามแช่อิ่มและมีข้อเสนอแนะ คือ เป็นการศึกษาที่ดีมากเพราะเป็นการกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนจังหวัดเพชรบูรณ์ ผลการพัฒนาทักษะด้านการวิจัยจากโจทย์ปัญหาภูมิปัญญาท้องถิ่น : การสืบค้นข้อมูลสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 พบว่า มีนักศึกษาที่สามารถสืบค้นข้อมูลได้อย่างเชื่อถือได้ ในการสืบค้นข้อมูลครั้งที่ 1 จำนวน 51 คน คิดเป็นร้อยละ 25.89 นักศึกษาที่สามารถสืบค้นข้อมูลได้อย่างเชื่อถือได้ ในการสืบค้นข้อมูลครั้งที่ 2 จำนวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 10.66 นักศึกษาที่สามารถสืบค้นข้อมูลได้อย่างเชื่อถือได้ ในการสืบค้นข้อมูลครั้งที่ 3 จำนวน 124 คน คิดเป็นร้อยละ 62.95 ผลการพัฒนาทักษะด้านการวิจัยจากโจทย์ปัญหาภูมิปัญญาท้องถิ่น : ทักษะการตั้งโจทย์วิจัย สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 พบว่า นักศึกษาที่มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ General ในครั้งที่ 1 จำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 36.15 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ General ในครั้งที่ 2 จำนวน 43 คน คิดเป็นร้อยละ 51.81 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ General ในครั้งที่ 3 จำนวน 8คน คิดเป็นร้อยละ 9.64 นักศึกษาที่มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ Specific ในครั้งที่ 1 จำนวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 21.69 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ Specific ในครั้งที่ 2 จำนวน 49 คน คิดเป็นร้อยละ 59.04 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ Specific ในครั้งที่ 3 จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 18.07 นักศึกษาที่มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ Key Question ในครั้งที่ 1 จำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 18.07 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ Key Question ในครั้งที่ 2 จำนวน 40 คน คิดเป็นร้อยละ 48.19 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับตั้งโจทย์วิจัยได้ระดับ Key Question ในครั้งที่ 3 จำนวน 28 คน คิดเป็นร้อยละ 33.74 ผลการพัฒนานักศึกษาชั้นปีที่3 ศึกษาระเบียบวิธีวิจัย ฝึกสร้างโจทย์วิจัย สมมติฐาน การกำหนดตัวแปร การสร้างแผนการเก็บข้อมูล ฯลฯ โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ได้ศึกษามาในปีที่ 1-2 เป็นแกนนำของภูมิปัญญา พบว่า นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับระบุโจทย์วิจัย (Key Question) ในครั้งที่ 1 จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 40 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับระบุโจทย์วิจัย (Key Question) ในครั้งที่ 2 จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 30 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับระบุโจทย์วิจัย (Key Question) ในครั้งที่ 3 จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 30 นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายในครั้งที่1 จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 30 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายในครั้งที่ 2 จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 50 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายในครั้งที่ 3 จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 20 นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งสมมติฐาน (Hypothesis) ในครั้งที่ 1 จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 70 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งสมมติฐาน (Hypothesis) ในครั้งที่ 2 จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 10 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งสมมติฐาน (Hypothesis) ในครั้งที่ 3 จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 20 นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการ (Methods) ในครั้งที่ 1 จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 10 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการ (Methods) ในครั้งที่ 2 จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 40 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการ (Methods) ในครั้งที่ 3 จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 50 นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับผลที่ได้/ข้อมูล(Results) ในครั้งที่ 1 จำนวน 0 คน คิดเป็นร้อยละ 0 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับผลที่ได้/ข้อมูล(Results) ในครั้งที่ 2 จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 40 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับผลที่ได้/ข้อมูล(Results) ในครั้งที่ 3 จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 30 นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการแปลความหมายข้อมูล (Discussion, Evaluation) ในครั้งที่ 1 จำนวน 0 คน คิดเป็นร้อยละ0 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการแปลความหมายข้อมูล (Discussion, Evaluation) ในครั้งที่ 2 จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 30 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการแปลความหมายข้อมูล (Discussion, Evaluation) ในครั้งที่ 3 จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 70 นักศึกษามีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการข้อสรุป (Conclusion)ในครั้งที่ 1 จำนวน 0 คน คิดเป็นร้อยละ 0 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการข้อสรุป (Conclusion) ในครั้งที่ 2 จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 40 มีทักษะการวิจัยเกี่ยวกับการข้อสรุป (Conclusion) ในครั้งที่ 3 จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 40 ผลการพัฒนาทักษะด้านการวิจัยจากโจทย์ปัญหาภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 4 พบว่า นักศึกษานำทักษะการวิจัยไปสู่การดำเนินการวิจัยดังเรื่องต่อไปนี้ การเปรียบเทียบประสิทธิภาพการเก็บมะขามหวานในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ วิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สาระที่ 2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้ประสบการณ์การเรียนรู้จากสวนมะขามหวาน โยเกร์ตรสมะขามหวานเพื่อสุขภาพ การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ วิชา วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สาระที่ 3.1 สารและสมบัติของสาร โดยวิธีการประยุต์สารจากพืชมะขามหวาน การย้อมสีกระดาษโดยใช้วัสดุจากต้นมะขามหวาน การสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง หน่วยของสิ่งมีชีวิต และหน่วยการดำรงชีวิตของพืชจากสวนมะขามหวาน ศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นในการปรับมะขามเปรี้ยวให้เป็นมะขามหวาน โยเกร์ตรสมะขามหวานเพื่อสุขภาพ การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต วิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 การศึกษาประวัติมะขามหวานในจังหวัดเพชรบูรณ์ การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องส่วนประกอบและโครงสร้างของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กรณีศึกษาดอกมะขามหวานและพืชในสวนมะขามหวาน การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องวัฎจักรชีวิตของพืชดอก วิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กรณีศึกษามะขามหวานและพืชในสวนมะขามหวาน การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการสืบพันธ์แบบอาศัยและไม่อาศัยเพศ วิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กรณีศึกษามะขามหวานและพืชในสวนมะขามหวาน โยเกิร์ตรสมะขามหวานเพื่อสุขภาพ การพัฒนาแผนการจัดการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง พันธุกรรมและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตของรงเรียนบ้านโตก โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวาน การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของพืชในแต่ละรุ่น สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กรณีศึกษามะขามหวานและพืชในสวนมะขามหวาน การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่ วิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กรณีศึกษามะขามหวานและพืชในสวนมะขามหวาน การดำเนินกิจกรรมในส่วนนี้มีผลพลอยได้ที่น่าสนใจ คือ นักศึกษาสะท้อนความคิดเห็นเกี่ยวกับการไปเก็บข้อมูลในท้องถิ่นหรือชุมชนของตนเอง ดังนี้ 1. นักศึกษามีความคิดเห็นต่อคนในชุมชนเปลี่ยนไป กล่าวคือ ในตอนแรกคิดว่าชาวบ้านไม่ค่อยฉลาด เมื่อเข้าไปเก็บข้อมูลพบว่า ชาวบ้านมีความรู้ ความสามารถมากกว่าที่เป็นอยู่ 2. ความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับคนในท้องถิ่นดีขึ้น กล่าวคือ ก่อนที่จะมีการเก็บข้อมูลในท้องถิ่น นักศึกษาคิดว่าตนเองเป็นนักศึกษา เป็นคนที่ได้เรียนสูง จึงไม่สนใจชาวบ้าน ไม่ค่อยพูดคุย หรือสนใจชาวบ้าน ถึงแม้เป็นญาติกันก็ไม่ได้คุยกัน แต่เมื่อได้ดำเนินการเก็บข้อมูลแล้ว นักศึกษา พบว่า ความรู้สึกที่มีต่อชาวบ้านเปลี่ยนไป และความสัมพันธ์ดีขึ้น มีการพูดคุยกัน ทักทายเมื่อพบกันและที่สำคัญชาวบ้านนำผลผลิตที่ได้มาให้ที่บ้านนักศึกษา และบอกว่า ชอบนักศึกษาที่ไม่ถือตัว ลงไปพูดคุยและแก้ปัญหาให้ 3. นักศึกษารู้ เข้าใจและรักท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น และรู้สึกสนุกที่ได้พูดคุยและทำงานในท้องถิ่นของตนเอง 4. จากนักศึกษาทั้งหมด จำนวน 307 คน พบว่า มี 1 คนที่สะท้อนความรู้สึกว่า ไม่ประทับใจในตัวชาวบ้านแต่ชอบและมีความรู้ดีขึ้นเกี่ยวกับหมู่บ้านของตนเอง 2. เพื่อพัฒนาและแก้ปัญหาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน จากการใช้ผลงานวิจัยโจทย์ปัญหาภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้น นักศึกษาในชั้นปีที่ 4 จำนวน 17 คน นำผลจากการวิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมะขามหวานไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนที่ไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูในชั้นปีที่ 5 3. เพื่อพัฒนาหลักสูตรมาตรฐานที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สามารถพัฒนาโจทย์วิจัยอย่างต่อเนื่อง ส่วนนักศึกษาชั้นปีอื่นๆ ยังไม่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเปลี่ยนรายวิชาและอาจารย์ที่สอน และอาจารย์บางส่วนยังเป็นว่าภูมิปัญญาท้องถิ่นยังไม่สอดคล้องกับเนื้อหาสาระในรายวิชาของตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีการดำเนินการต่ออย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีการพัฒนาเป็นหลักสูตรมาตรฐานที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย 4. เพื่อพัฒนางานวิจัยเครือข่ายที่มีประโยชน์ ในการพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบ มีคุณภาพ 1. ครูในโรงเรียนเครือข่ายฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ต้องการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นไปใช้ในการพัฒนาเป็นหลักสูตรท้องถิ่นและนำไปสู่การจัดการเรียนการสอนโดยจัดทำเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งต้องการให้คณาจารย์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์และนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพเป็นผู้นำ/พี่เลี้ยงให้กับโรงเรียนในการดำเนินการ 2. มีการประชุมเครือข่ายนักวิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
The purposes of this research were as follows: 1) to develop teachers and student teachers in the local area to have research skills by using local wisdom; 2) to develop and durably solve the local problems by applying the research result derived from local wisdom; 3) to develop standard-based curriculum in accordance with the university’s identity; 4) to develop research network suitable to local development. The co-researchers were consisted of teachers and students from the programs of the Faculty of Education, which were Foundation of Education Program, English Program, Mathematics Program and Measurement and Evaluation Program. The number of undergraduate students joining in this research was 307. The research instruments were a questionnaire on local wisdom, the open-ended interview questions about local wisdom in sweet tamarind and research-skilled practice. The data were collected from workshop, interview and activities in research-skilled practice. The quantitative data were analysed by using frequency and percentage and the qualitative data were conducted content analysis. Research Results The research results were as follows: 1. The research results showed that Phetchabun Province has the outstanding local wisdom of sweet tamarind and related knowledge of sweet tamarind, especially preserved tamarind in syrup. It is suggested that this research is good in stimulating people to see the importance of Phetchabun’s local wisdom. Relating to the development of problem-based local wisdom, it was shown that the inquiry of information for the first-year students is reliable in the first time of information inquiry with 51 students or 25.89 percent. 21 students or 10.66 percent could reliably enquire the information in the second time. 124 students or 62.95 percent could reliably inquire the information in the third time. Relating to the development of research skills from local wisdom problems, 30 or 36.15 percent of the students in the second-year had the skill of raising research questions at the General Level for the first time; 43 students or 51.81 percent had the skill in raising research questions at the General Level for the second time; and 8 students or 9.64 percent had the skill in raising research questions at the General Level for the third time. 18 students or 21.69 percent had the skill in raising research questions in the first time at the specific level; 49 students or 59.04 percent of the students had the skill in raising research questions at the specific level for the second time; 15 students or 18.07 percent of students had the skill in raising research questions in the third time. 15 students or 18.07 percent of students had the skill in raising research questions at the key question level in the first time; 40 students or 48.19 percent had the skill in raising research questions at the key question level for the second time and 28 students or 33.74 percent had the skill in raising research questions at the key question level for the third time. Relating to the research methods skills, the third year students had known about research methodology, research question raising, hypothesis, variables, data collection planning, etc. by using the local wisdom. The results showed that 4 students or 40 percent of students had research skills in raising the research questions for the first time. 3 students had research skill in raising the research questions for the second time and 3 students or 30 percent had the skill in the third time 3 students or 30 percent of students had research skill in goal setting; 5 students or 50 percent had it in the second time and 2 students or 20 percent had it in the third time. 7 students or 70 percent of the student had research skills in formulating research hypothesis in the first time; 1 student or 10 percent of the student had research skills in formulating research hypothesis in the second time; 2 students or 20 percent of students had research skills in formulating research hypothesis in the third time. 1 student or 10 percent of the student had research skills in research methods in the first time; 4 students or 40 percent of had research skills in research methods in the second time; 5 students or 50 percent of the student had research skills in research methods in the third time 0 students or 0 percent of the student had research skills in research results in the first time; 4 students or 40 percent had research skills in research results in the second time; 3 students or 30 percent had research skills in research results in the third time. 0 students or 0 percent of the student had research skills in research discussion and evaluation in the first time; 3 students or 30 percent had research skills in research results in the second time; 7 students or 70 percent of the student had research skills in research results in the third time. 0 students or 0 percent of the student had research skills in research conclusion in the first time; 4 students or 40 percent of the students had research skills in research conclusion in the second time; 4 students or 40 percent of the students had research skills in research conclusion in the third time. The development of the third-year students’ research skills showed that they could bring the research skill in conduction research as follows: A comparison of temperature differences used in storing sweet tamarind. A development of lesson plan in science subject of Mattayomsuksa 3 : Life and Environment by using the experience from sweet tamarind farming. Sweet Tamarind Flavored Yogurt A development of lesson plan in science subject of Mattayomsuksa 2 : Substances and Properties of Substances by using substances derived from sweet tamarind Scientific Learning Activities: Living things and Life of Plants in sweet tamarind farm Study of local wisdom how to modify the sour tamarind into sweet tamarind A development of lesson plan in science subject for Mattayomsuksa 3, Creature and Living Processes of Creature The study of Phetchabun’s sweet tamarind history A development of lesson plan in science subject for Mattayomsuksa 5: Components and Structure of Flowering plants, by using sweet tamarind’s flowers and plants in sweet tamarind farm. A development of lesson plan in science subject for Mattayomsuksa 5: Life Cycle of Flowering Plants, by using sweet tamarind’s flowers and plants in sweet tamarind farm. A development of lesson plan in science subject for Mattayomsuksa 5: Sexual Reproduction and Asexual Reproduction, by using sweet tamarind’s flowers and plants in sweet tamarind farm. A development of lesson plan in science subject: Heredity and Biological diversity in Bantok School with the local wisdom of sweet tamarind A development of lesson plan in science subject for Mattayomsuksa 5: Genetic Inheritance in sweet tamarind farm. A development of lesson plan in science subject for Mattayomsuksa 5, Monocotyledon and Dicotyledon, a case study of sweet tamarind farm. Apart from having the activities, the students also suggested that: 1. Their attitudes about local people were changed. To illustrate, at first they thought that local people were not intelligent. However, when they had a chance to get in touch with them they found that the local people have an ability and knowledge more than they had expected. 2. The relationship between students who conducted the research and local people were better. The students were proud of themselves and thought that they were superior to those local people. They didn’t want to talk or get in touch with them. However, when the students got a chance to talk to those people, the students’ attitude on local people had changed. They had better understanding about those people; they communicate with each others more. The local people felt good with the students and offered them a gift because they were impressed by those students. 3. The students have a better understanding in local wisdom and they were proud of it. They felt good with the local wisdom. And they thought that it was a great opportunity to work with local people. 4. The co-researchers in this research were 307 students and the result showed that one of them did not be impressed by local people. However, that student felt better with his or her own village. 5. Relating to developing and durably solving local problems, 17 of the fourth-year students showed that they could bring the knowledge derived from the research into practice. 6. In order to develop the standard-based curriculum in accordance with the university’s identity, some of the fourth-year students could continually develop research skills; whereas other students could not continually develop their research skills due to the change of subject matter and teachers. Some of the teachers thought that the local wisdom was not suitable to their subject. No development of standard-based curriculum in line with the university’s identity was found. 7. Relating to the developing of research network for local development, teachers in local schools would like to bring the local wisdom into area-based curriculum and apply it in lesson plan and they also would like Phetchabun Rajabhat University’s researchers to mentor them in the involving processes 8. It was suggested that Office of the Higher Education Commission should hold the meeting for researchers of local wisdom in order to build a strong network among them.
|
|---|
