| บทคัดย่อ |
โครงการวิจัยย่อยที่ 1 กัญชง เป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในวงศ์ Cannabaceae รู้จักกันในชื่อกัญชง (Hemp) เป็นพืชที่ปลูกเพื่อนำเส้นใยจากลำต้นไปใช้ในอุตสาหกรรมถักทอ เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ได้นำใบกัญชงมาใช้ประโยชน์ ดังนั้น การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำใบกัญชงซึ่งเป็นเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร มาสกัดสาระสำคัญ ซึ่งใช้วิธีทางเคมี (Ethanolic Extract) และนำมาวิเคราะห์ฤทธิ์ของสารสกัดจากใบกัญชงในการยับยั้งแบคทีเรีย Streptococcus mutans ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดฟันผุ ผลการวิจัยพบว่า ร้อยละของผลผลิต (% yield) จากการสกัดใบกัญชงมีค่าเท่ากับ ร้อยละ 20 จากนั้นนำสารสกัดใบกัญชงมาศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. mutans โดยวิธี Disc Diffusion ผลพบว่าตัวอย่างสารสกัดใบกัญชงไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. mutans เมื่อเปรียบเทียบกับยาต้านเชื้อแบคทีเรียมาตรฐาน Erythromycin ในปริมาณ 0.015 มิลลิกรัม ซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของขอบเขตการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เท่ากับ 24.01 ± 0.81 มิลลิเมตร และทดสอบหาความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย S. mutans ตัวอย่างสารสกัดใบกัญชง ไม่สามารถหาค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้ง (MIC) เชื้อแบคทีเรีย S. mutans เมื่อเทียบกับค่า MIC ของยามาตรฐาน Erythromycin ซึ่งได้เท่ากับ 0.39 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร แสดงให้เห็นว่า สารสกัดสารจากใบกัญชงไม่สามารถยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดฟันผุได้ ดังนั้นการใช้สารสกัดจากใบกัญชงไม่สามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันฟันผุ แต่อาจสามารถนำมาพัฒนาเป็นยาสีฟันสมุนไพรต่อไป โดยทำการศึกษาต่อยอดด้านฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ การต้านการอักเสบ ดังนั้นจึงควรมีการศึกษาสารสกัดจากใบกัญชงต่อเพื่อนำมาพัฒนาเป็นยาสีฟันที่ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบต่อไป
โครงการวิจัยย่อยที่ 2 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชากัญชงจากใบกัญชงวัสดุเหลือใช้จากการทำเส้นใยกัญชง มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากใบกัญชงและพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ชาใบกัญชง จากกัญชง สายพันธุ์ Siskiyou gold โดยใช้ยอด ใบอ่อน ใบเพสลาด และใบแก่ มาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH ใบแก่ มีค่า IC50 เท่ากับ 2.28 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรมากที่สุด, วิธี ABTS ใบแก่ มีค่า IC50 เท่ากับ 0.19 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรมากที่สุด และ FRAP ใบอ่อน มีค่า IC50 เท่ากับ 0.19 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรมากที่สุด การวิเคราะห์ปริมาณฟีนอลิกและปริมาณฟลาโวนอยด์ พบใบเพสลาด มีปริมาณฟีนอลิก เท่ากับ 0.5491±0.0034 มากที่สุด และใบอ่อน มีปริมาณฟลาโวนอยด์ เท่ากับ 1.2226±0.0054 มากที่สุด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชาใบกัญชง โดยใช้ส่วนของยอด ใบอ่อน และใบเพสลาดมาพัฒนากรรมวิธีการผลิต ควบคุมปริมาณความชื้นไม่เกินร้อยละ 10 ซึ่งพบว่า กรรมวิธีการผลิตชาอู่หลง มีความชื้น ร้อยละ 8.47 น้อยที่สุด ดังนั้น การใช้ใบกัญชง สามารถใช้ใบได้ทุกส่วน ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับใบกัญชที่เหลือใช้จากการทำเส้นใยกัญชงและการตัดตกแต่งกิ่ง ก่อให้เกิดรายได้กับเกษตรกรต่อไป
โครงการวิจัยย่อยที่ 3 การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณสมบัติของน้ำมันเมล็ดกัญชงและพัฒนาเป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยบนใบหน้า โดยนำน้ำมันเมล็ดกัญชงที่ซื้อจากบริษัท ไทยสติ๊คเฮิร์บ จำกัด มาตรวจวิเคราะห์ พบว่าประกอบด้วยกรดไขมันหลายชนิด เช่น กรดปาล์มมิติก กรดสเตียริก กรด ลิโนเลอิก กรดโอเลอิก เป็นต้น ผลการวิเคราะห์วิตามินอี (Tocopherol) พบโทโคฟีรอลชนิดแอลฟา (α) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร เมื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยบนใบหน้าทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบมีคุณสมบัติในการป้องกันริ้วรอยก่อนวัย ทำให้ผิวชุ่มชื้น กระจ่างใส การตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ต้นแบบไม่พบเชื้อที่ก่อโรค ตัวอย่างมีค่าความเป็นกรด-ด่าง เฉลี่ย 6.11 ซึ่งเป็นค่าที่มีความเหมาะสม ดังนั้น การนำน้ำมันเมล็ดกัญชงมาเป็นส่วนผสมในการผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยบนใบหน้าหรือเครื่องสำอางเป็นส่วนผสมที่มีคุณสมบัติเหมาะสม งานวิจัยนี้จึงสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากน้ำมันเมล็ดกัญชง เป็นการต่อยอดผลผลิตทางการเกษตรในเชิงพาณิชย์ เพิ่มมูลค่าแก่ผลิตภัณฑ์และเป็นแนวทางขับเคลื่อนการใช้พืชสมุนไพรกัญชงให้เกิดประโยชน์ในมิติที่หลากหลายต่อไป
โครงการวิจัยย่อยที่ 4 งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปากในรูปของลิปบาล์ม โดยการทำการเตรียมสารสกัดจากใบกัญชงหมักด้วย 95% เอทานอล ปริมาณ 1500 มิลลิลิตร (1:10 w/v) และใช้เครื่อง Rotary Evaporator ในการแยก 95% เอทานอลออกจากตัวอย่าง ซึ่งจะได้สารลักษณะเป็นของเหลวเหนียวหนืด สีเขียวเข้ม ร้อยละของสารที่สกัดได้โดยสารสกัดชั่งน้ำหนักได้ 18 กรัม คำนวณเป็นร้อยละได้เท่ากับ ร้อยละ 12 ของน้ำหนักผงใบกัญชง ในสารสกัดจากใบกัญชงที่สกัดได้มีปริมาณ THC อยู่ที่ 2.859 กรัม/กิโลกรัม ทดสอบปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระโดยวิธี DPPH assay โดยนำสาร DPPH มา 1 มิลลิกรัม ละลายด้วยร้อยละ 99.9 แอบโซลูทเอทานอล ปริมาตร 25 มิลลิลิตร โดยใช้โทรลอกซ์ (Trolox) เป็นสารมาตรฐานที่ความเข้มข้น 0.0000, 0.0004, 0.0011, 0.0021, 0.0043 และ 0.0086 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร โดยการเติมสารละลาย DPPH ปริมาตร 20 ไมโครลิตร และ 10 ไมโครลิตร ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปไว้ในที่มืดเป็นเวลา 30 นาที นำไปวัดค่าการดูดกลืนแสงด้วยเครื่องสเปคโตรไฟโตมิเตอร์ที่ความยาวคลื่น 515 นาโนเมตรพบว่ามีปริมาณของ Total Antioxidant อยู่ที่ 130.1734 มิลลิกรัมต่อโทรลอกซ์/100 กรัม มีปริมาณ Vitamin E (α-Tocopherol) อยู่ที่ 0.02 มิลลิกรัม/100กรัม ซึ่งผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปากในรูปของลิปบาล์มที่ได้เป็นเนื้อลิปบาล์มสีเขียว มีความแข็งที่ดี มีความชุ่มชื้น มีกลิ่นอ่อนๆของสารสกัดจากกัญชง การทดสอบปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค ได้แก่ Clostridium spp. , Escherichia coli , Pseudomonas aeruginosa และ Staphylococcus aureus ไม่พบเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคจากผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปากในรูปของลิปบาล์ม และผลการทดสอบจำนวนเชื้อแบคทีเรีย ยีสต์และเชื้อรา จากผลการทดสอบพบจำนวนเชื้อแบคทีเรีย ยีสต์และเชื้อราน้อยกว่า 10 ซีเอฟยู/กรัม (< 10)
โครงการวิจัยย่อยที่ 5 ในปัจจุบันสถานการณ์ของสังคมให้ความสนใจเกี่ยวกับพืชกัญชง (Hemp) เป็นอย่างมาก เนื่องจากกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ที่ได้มีประกาศจากกระทรวงสาธารณสุข และในปี พ.ศ. 2564–2565 ได้ออกกฎกระทรวงและประกาศกระทรวงเกี่ยวกับกัญชาและกัญชง 4 ฉบับ เพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ รวมทั้งนำส่วนต่าง ๆ ของพืชกัญชาและกัญชงมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากใบกัญชง และนำมาพัฒนาเป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์โลชั่นบำรุงผิวพรรณจากสารสกัดใบกัญชง ซึ่งใบกัญชงที่ใช้ในการวิจัยเป็นส่วนเหลือใช้จากการปลูกกัญชงของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยนำใบสดมาผึ่งลมให้แห้งนำไปบดให้ละเอียด จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนการสกัดสารสำคัญด้วยเอทานอล (Ethanol extract) และตรวจหาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH ผลการทดสอบพบว่า สารสกัดใบกัญชงมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่ความเข้มข้น 1 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ที่ร้อยละ 38.39±0.63 โดยค่าความเข้มข้นที่สามารถต้านอนุมูลอิสระที่ร้อยละ 50 (EC50) อยู่ที่ 2.239 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ส่วนตรวจหาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี FRAP พบว่าในสารสกัดใบกัญชง 1 มิลลิกรัม มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับ 22.19±1.485 ไมโครกรัม แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากใบกัญชง มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ และเหมาะสมที่จะนำพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบโลชั่นบำรุงผิวพรรณ เพิ่มการต้านอนุมูลอิสระในการปกป้องผิว และช่วยเพิ่มมูลค่าเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรของกัญชง และสามารถเป็นต้นแบบในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น
Sub Project 1 : Hemp, a herbal plant belonging to the Cannabaceae family, is primarily cultivated for its fibers derived from the stems, commonly used in the weaving industry. Typically, hemp leaves are overlooked by most Agriculturists and treated as agricultural waste. This study aims to explore the potential of utilizing hemp leaves as a valuable resource by using a chemical method (Ethanolic Extract) to extract their essence. The focus is on assessing the inhibitory effect of hemp leaf extract on Streptococcus mutans, a bacterium known for causing tooth decay. The research findings indicate that the percentage yield (% yield) from the extraction process was 20 percent. Subsequent analysis of the inhibitory effect on S. mutans bacteria, using the Disc Diffusion method, revealed that the hemp leaf extract exhibited no activity in inhibiting S. mutans bacteria when compared to the standard antibacterial drug Erythromycin at a concentration of 0.015 mg, which had a diameter of 24.01 ± 0.81 mm. Further investigation was conducted to determine the minimum inhibitory concentration (MIC) of hemp leaf extracts against S. mutans. Unfortunately, the study did not identify the MIC of hemp leaf extracts, in contrast to the MIC of the standard drug Erythromycin, which was determined to be 0.39 micrograms per milliliter. This suggests that hemp leaf extract may not effectively inhibit the growth of bacteria associated with tooth decay. Consequently, while the use of hemp leaf extract may not be suitable for developing a tooth decay prevention product, it holds potential for herbal toothpaste development. Future research should delve into exploring the antioxidant and anti-inflammatory properties of hemp leaf extract to ascertain its viability for toothpaste formulations with additional health benefits
Sub Project 2 : Development of hemp tea product from hemp leaf, waste material from hemp fiber aims to test the antioxidant activity of hemp leaf and develop a prototype of hemp leaf tea product from the Siskiyou gold strain of hemp by using shoot, young, fully expand and mature leaf to test. The results showed that the antioxidant capacity of the DPPH method of mature leaf had the highest IC50 value at 2.28 mg/ml, ABTS method of mature leaf had the highest IC50 value at 0.19 mg/ml, and young leaf FRAP had the highest IC50 value at 0.19 mg/ml. The analysis of phenolic and flavonoid content, fully expand leaf were found to have the most phenolic content at 0.5491±0.0034 and young leaf had the highest flavonoids at 1.2226±0.0054. The development of hemp leaf tea product by using the shoot, young leaf and fully expand leaf to develop a production method that controls the humidity content not to exceed 10 percent, it was found that the oolong tea production method had a humidity content at 8.47 percent, which is the least. Therefore, when using hemp leaf, all parts of the leaf can be used. This study increases the value of hemp leaf that are left over from making hemp fiber and cutting branches. It is a way to generate income for farmers in the future.
Sub Project 3 : The objective of this research aims to study the properties of hemp seed oil and develop it as a prototype of wrinkle fading product. Hemp seed oil purchased from Thai Stick Herb Co., Ltd. was analyzed and found to contain several fatty acids such as Palmitic acid, Stearic acid, Linoleic acid, Oleic acid, etc. Analysis of vitamin E (Tocopherol) found alpha tocopherol (α), which has the ability to protect the skin from free radicals, reduces premature aging. When developing wrinkle fading product, a prototype product has the properties of preventing premature aging, keeping the skin moisturized and radiant. Analysis of the prototype product did not detect pathogens. The sample has an average pH of 6.11, which is an appropriate value. The use of hemp seed oil as an ingredient in wrinkle fading product or cosmetics is a qualified ingredient. This study therefore supports the utilization of hemp seed oil as an extension of commercial agricultural production, add value to the product and be a guideline to drive the use of hemp medicinal plant for benefits in various dimensions.
Sub Project 4 : The aim of this study is to develop lip care products in the form of lip balm. We achieved this by extracting compounds from hemp leaves through fermentation with 95% ethanol in a 1500 ml volume (1:10 w/v). A Rotary Evaporator was then employed to separate the 95% ethanol from the sample, resulting in a dark green, viscous liquid. The extracted substances, weighing 18 grams, account for 12% of the hemp leaf powder's weight.
Within the hemp leaf extract, the quantity of THC measured 2.859 grams/kg. Antioxidant levels were assessed using the DPPH assay, with 1 mg of DPPH dissolved in 99.9% absolute ethanol (25 ml volume). Trolox served as a standard at concentrations of 0.0000, 0.0004, 0.0011, 0.0021, 0.0043, and 0.0086 mg/ml. By adding 20 microliters and 10 microliters of DPPH solution, thoroughly mixing, and allowing it to stand in the dark for 30 minutes, light absorbance was measured with a spectrophotometer at 515 nm. Total Antioxidant content was determined as 130.1734 milligrams per trolox/100 grams, while the Vitamin E (α-Tocopherol) content was found to be 0.02 milligrams/100 grams.
The resulting lip care product, presented as a green-textured lip balm, exhibits commendable hardness and moisture retention, accompanied by a subtle hemp extract fragrance. Pathogenic microorganism tests for Clostridium spp., Escherichia coli, Pseudomonas aeruginosa, and Staphylococcus aureus yielded negative results. Bacterial and yeast/mold counts were less than 10 CFU/gram (< 10) in the lip balm, indicating a safe and hygienic product.
Sub Project 5 : Currently, there is considerable societal interest in hemp plants, as they have been recognized as a novel economic crop by the Ministry of Public Health. In the years 2021–2022, the ministry has issued regulations and announcements addressing four aspects of marijuana and hemp use, emphasizing their potential medical benefits and commercial applications. This research focuses on assessing the antioxidant activity of hemp leaves and subsequently developing a prototype skincare lotion using hemp leaf extract. The hemp leaves utilized in this study are sourced from the remnants of a community enterprise group's hemp cultivation. Following the air-drying and fine grinding of fresh leaves, the extraction of vital substances is carried out using ethanol (Ethanol extract). The antioxidant activity is evaluated using the DPPH method. Results indicate that hemp leaf extract demonstrates an antioxidant capacity of 38.39±0.63% at a concentration of 1 mg/mL, with an EC50 of 2.239 mg/mL. Additionally, the FRAP method reveals that 1 mg of hemp leaf extract contains antioxidants equivalent to 22.19±1.485 micrograms, underscoring its antioxidant properties. This study suggests that hemp leaf extract exhibits promise for further development as a prototype skincare lotion product, aiming to enhance skin protection through increased antioxidants. Moreover, this initiative holds the potential to add value to hemp agricultural waste and serves as a prototype for the creation of diverse products.
|
|---|
