| บทคัดย่อ |
การศึกษาในครั้งนี้ได้ทำในพื้นที่ป่าชุมชนบ้านห้วยลาน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2564 ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะสังคมพืชและประเมินการสะสมคาร์บอนในระบบนิเวศป่าไม้ ศึกษาการเจริญของกล้าไม้ป่าในสภาพแห้งแล้ง และส่งเสริมกิจกรรมการฟื้นฟูป่าเพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อน วิธีการคือใช้แนวทางตามหลักการทางนิเวศวิทยา ทำการวางแปลงตัวอย่างวงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 เมตร เพื่อเก็บข้อมูลชนิดพืชและวัดเส้นผ่านศูนย์กลางระดับอก จากนั้นทำการวิเคราะห์ลักษณะของสังคมพืชด้วยการวิเคราะห์ค่าความหนาแน่น จำนวนชนิด และค่าดัชนีความสำคัญของไม้ยืนต้น ในการประเมินการสะสมคาร์บอนทำการหาปริมาณคาร์บอนที่สะสมในมวลชีวภาพเหนือผิวดิน โดยหามวลชีวภาพด้วยวิธีการแอลโลเมตรี แล้วนำไปคำนวณหาปริมาณคาร์บอนด้วยการคูณด้วยค่าคงที่ ผลการศึกษาพบว่าลักษณะสังคมพืชเป็นป่าเบญจพรรณผสมป่าเต็งรัง ประกอบอยู่ด้วยพบพรรณไม้ใหญ่จำนวน 39 วงศ์ 33 สกุล 49 ชนิด วงศ์ที่พบมากที่สุดคือวงศ์ Fabaceae รองลงมา คือ วงค์ Dipterocarpace และวงศ์ Anacardiaceae พรรณไม้ที่มีค่าดัชนีความสำคัญทางนิเวศวิทยาสูงสุด คือ กุ๊ก (Lannaea coromandelae) รองลงมา คือ ประดู่ (Pteroocarpus macrocarpus) และ รัง (Shorea siamensis) มีค่าดัชนีความหลากหลายทางชีวภาพ มีค่าเท่ากับ 3.14 ค่าความสม่ำเสมอในการกระจายตัว มีค่าเท่ากับ 0.81 การสะสมคาร์บอนในมวลชีวภาพเหนือผิวดินเท่ากับ 80.76 ตันต่อเฮกตาร์ จากข้อมูลดังกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่าป่าชุมชนบ้านห้วยลานมีการสะสมคาร์บอนไว้ในมวลชีวภาพในปริมาณสูงและมีความเหมาะสมที่ได้รับการส่งเสริมให้เป็นพื้นที่เก็บกักคาร์บอนในเชิงพื้นที่ระดับของท้องถิ่นได้ การศึกษาเชื้อไมคอร์ไรซาในการนำมาใช้ส่งเสริมการเจริญเติบโตของกล้าไม้มะค่าโมง (Afzelia xylocarpa) ผลการศึกษาสรุปได้ว่าไมคอร์ไรซาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการเพิ่มการเจริญของกล้าไม้มะค่าโมงในสภาวะแล้งได้ดี ประการสุดท้ายการส่งเสริมกิจกรรมลดภาวะโลกร้อนในชุมชนโดยการฟื้นฟูป่าชุมชนให้เป็นแหล่งเก็บกักคาร์บอน ผลการประเมินความพึงพอใจประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวประชาชนมีความพึงพอใจในระดับดี
This study was carried out at Bann Huai Lan forest community, Lomsak District, Phetchabun Province during October 2021–November 2022. The objectives of this research were to assess the characteristic of forest community and carbon accumulated in above ground biomass, to investigate on seedling growth in a drought condition and to promote forest rehabilitative activity for decreasing global warming problem. Methodology for study carbon accumulation base on ecological quantitative method, 12 diameter of circular plot was set up for invented tree species and measuring a diameter at breath height (dbh). The assessment of plant communities Including density, number of species and important value index, index were observed and recorded, and the carbon accumulation was measured. Dbh and height were calculated to aboveground biomass by using allometry equation. Organic carbon in tree biomass was calculated by using Tsutsumi’s constant. The results revealed that forest community was a mixed deciduous mixed with dry dipterocarp forest. There were 39 families, 33 genera, 49 species. The most common family was Fabaceae, followed with Dipterocarpace and Anacardiaceae, respectively. The plants with the highest importance vaule index were Lannaea coromandelae, followed by Pteroocarpus macrocarpus and Shorea siamensis. The species diversity index was 3.14 and the evenness index was 0.81. Carbon storage in above ground biomass was 80.76 tonne per hectare. The results indicated that Bann Huai Lan forest community have a highest of carbon accumulation in their biomass. This showed that natural forest around this community have a high potentially as a sink of carbon at a local scale. The study on the efficiency of mycorrhiza promote growth in seedling of A.Xylocarpa which concluded that mycorrhiza can be useful to promoting growth in A. xylocarpa seedling during drought condition. Finally, the activity to promoted a decreasing global warming problem by rehabilitate forest community as a local carbon storage area was enhanced. The result on satisfaction assessment found that people who cooperated with this activity was stratify at a good level.
|
|---|
| คำสำคัญ |
ป่าชุมชน,การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ,จังหวัดเพชรบูรณ์,Forest community,Potential,Climate change,Phetchabun Province
|
|---|
