| บทคัดย่อ |
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพความต้องการการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาการคิด 3 มิติ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงพื้นที่โดยใช้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาการคิด 3 มิติ 3)เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงพื้นที่โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาการคิด 3 มิติ และ 4) เพื่อประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงพื้นที่โดยใช้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาการคิด 3 มิติสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตำบลบ้านติ้ว อำเภอ
หล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์
การดำเนินการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development ) มีขั้นตอนการดำเนินงาน 4 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพความต้องการ การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาการคิด 3 มิติ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษากลุ่มเป้าหมายได้แก่ ครูผู้สอนโรงเรียนติ้ววิทยาคม จำนวน 22 คน ขั้นตอนที่ 2 เพื่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาการคิด 3 มิติ โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่านประเมินความเหมาะสมและสอดคล้องของรูปแบบ ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงพื้นที่โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาการคิด 3 มิติ กลุ่มเป้าหมายได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 30คน ขั้นตอนที่ 4 การประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงพื้นที่โดยใช้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาการคิด 3 มิติ โดยใช้การประเมินความพึงพอใจ
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนที่ 1 ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงค่าความถี่(Frequency)การหาค่าร้อยละ(Percentage)และการวิเคราะห์สรุปเนื้อหา ขั้นตอนที่ 2 แบบประเมินความเหมาะสมและสอดคล้องของรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ( x̄ ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตอนที่ 3 แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวการจัดการเรียนรู้ 3 มิติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ( x̄ ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และหาค่าสถิติทดสอบที และแบบประเมินทักษะการคิด มิติ 3 ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ การคิดแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ ใช้การเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ขั้นตอนที่ 4 แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ( x̄ ) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการศึกษาสภาพความต้องการ การจัดการเรียนการสอนครูผู้สอนร้อยละ 90 ต้องการได้รับความรู้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ต้องการได้รับการพัฒนาเกี่ยวกับ หลักการ ขั้นตอน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การสร้างเครื่องมือการวัดและประเมินผล ครูผู้สอนต้องการความรู้ในด้านองค์ความรู้ ทฤษฎีต่างๆ การการกำหนดประเด็นปัญหา การออกแบบการจัดการเรียนการสอน ขั้นตอนการสอน การจัดทำและใช้สื่อ การวัดและประเมินผลและการบริหารจัดการชั้นเรียนครูผู้สอนส่วนใหญ่เห็นว่าเหมาะสม และมีความเป็นไปได้ในกระบวนการทั้ง 6 ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น การนำการคิด 3 มิติ ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ การคิดแก้ปัญหา และการคิดสร้างสรรค์มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ปัญหาเป็นฐานมาใช้มีความเหมาะสมและเป็นไปได้ และควรมีการจัดลำดับการฝึกการคิดจากง่ายไปหายาก
2. ผลการสร้างและตรวจสอบคุณภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงพื้นที่โดยใช้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาการคิด 3 มิติ พบว่ามี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ที่มาและความสำคัญของรูปแบบ 2) ทฤษฎีและ แนวคิดพื้นฐาน 3) หลักการของรูปแบบ 4) จุดมุ่งหมายของรูปแบบ 5) ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการสอน มี 6 ขั้นตอนย่อย ได้แก่ การกำหนดปัญหา /สร้างสถานการณ์ การทำความเข้าใจปัญหา การศึกษาค้นคว้า การสังเคราะห์ความรู้ การสรุปและประเมินค่า การนำเสนอและประเมินผลงาน และ 6) การวัดและประเมินผลรูปแบบ โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน พบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมในภาพรวมระดับมาก( x̄ = 4.14, S.D=. 0.72 ) และมีความสอดคล้องมีค่าความสอดคล้องระหว่าง 0.60 - 1.00
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงพื้นที่โดยใช้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาการคิด 3 มิติ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ตำบลบ้านติ้ว อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พบว่ามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวการจัดการเรียนรู้ 3 มิติ หลังการใช้รูปแบบ สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีทักษะการคิด 3 มิติ ผ่านเกณฑ์การประเมินร้อยละ 70 คิดเป็นร้อยละ 90
4. ผลการประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงพื้นที่โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาการคิด 3 มิติ โดยประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ในภาพรวมทั้งในด้านปัจจัย ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต อยู่ในระดับมาก ( x̄ = 4.08,S.D. 0.73)
The present study aimed to: 1) identify the general conditions for the need of problem-based teaching and learning to promote 3D thinking among secondary school students, 2) develop a model for spatial learning management using problem-based learning management to promote 3D thinking, 3) test the developed spatial learning management model using problem-based learning management to promote 3D thinking, and 4) evaluate the developed spatial learning management model using problem-based learning management to promote 3D thinking among secondary school students in Ban Tiw sub-district, Lomsak district, Phetchabun province, Thailand.
This study was conducted in four phases of research and development. In Phase 1, 22 teachers from Tiw Wittayakhom School were asked to identify the general conditions of need for problem-based learning management to promote 3D thinking among secondary school students. In phase 2, 5 experts evaluated the appropriateness and index of item - objective congruence of the developed spatial learning management model. In Phase 3, 30 seventh grade students engaged with the newly developed spatial learning management model that employed problem-based learning management to promote 3D thinking. In Phase 4, a satisfaction questionnaire was used to evaluate the developed spatial learning management model that employed problem-based learning management to promote 3D thinking.
The research tools used to collect data were divided into the following phases: Phase 1 employed a questionnaire, examined its data with frequency and percentage, and then analyzed and summarized the findings. Phase 2 employed an IOC form, analyzed the data using mean ( x̄ ) and standard deviation (S.D.), and then calculated the value of the index of item - objective congruence. Phase 3 used a test to assess knowledge and understanding of 3D learning management, analyzed the data with mean ( x̄ ) and standard deviation (S.D.), calculated a statistical value for the T-test, and compared the 3D thinking skill assessment form, which included analytical thinking, problem solving thinking, and creative thinking, to the 70% criteria. Phase 4 involved administering a satisfaction survey to students regarding the learning management model and then analyzing the results using the mean ( x̄ ) and standard deviation (S.D.).
The findings showed:
1. The results of determining the general conditions of need for teaching and learning showed that 90 percent of the teachers required knowledge of problem-based learning management, the development of principles and processes, the arrangement of learning activities, and innovations in measurement and evaluation. The teachers also required knowledge and theories in specifying issues of instructional management design, teaching process, preparation and use of materials, measurement and evaluation, and classroom management. Most of them agreed that 6 components of problem-based learning management with lower secondary students were appropriate and feasible, and also that 3D thinking in analytical thinking, problem solving thinking, and creative thinking utilized in problem-based learning management were appropriate and feasible, but that thinking skills from easy to hard should be prioritized.
2. The results of creating and checking the quality of the spatial learning management model using problem-based learning management to promote 3D thinking which consisted 6 components: 1) background and importance, 2) theories and concepts, 3) principles, 4) aims, 5) process of organizing teaching activities with 6 sub-steps, namely problem determination /creating situations, understanding problems, researching, synthesizing knowledge, summarizing and evaluating, and presenting and evaluating works, and 6) measurement and evaluation, by 5 experts, showed that the developed learning management model was appropriate at a high level ( x̄ = 4.14, S.D. = . 0.72) and consistent between 0.60-1.00.
3. The results of testing the developed spatial learning management model using problem-based learning management to promote 3D thinking for secondary school students at Ban Tiw subdistrict in Lomsak district of Phetchabun province revealed that knowledge and understanding of 3D learning management after using the model was higher than before using the model with statistical significance at the.05 level, and 3D thinking skills passed the 70 percent criteria at 90 percent.
4. The overall results of student satisfaction on the factors of process and outcome for the developed spatial learning management using problem-based learning management to promote 3D thinking were high ( x̄ = 4.08, S.D. 0.73).
|
|---|
