| บทคัดย่อ |
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ 2) เพื่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 3)เพื่อทดลองใช้หลักสูตรเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 4)ประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ที่มีต่อหลักสูตรทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
การดำเนินการวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยและพัฒนา (Research and Development ) มีขั้นตอนการดำเนินงาน 4 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐานทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ประชากรได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จำนวน 320 คน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 175 คน ขั้นตอนที่ 2 เพื่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่านประเมินความเหมาะสมและสอดคล้องของหลักสูตร ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้หลักสูตรเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักศึกษา จำนวน 100 คน ขั้นตอนที่ 4 การประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาครูที่มีต่อหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างทักษะการจัดการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนที่ 1 ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงค่าความถี่(Frequency)และหาค่าร้อยละ(Percentage)การหาค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ขั้นตอนที่ 2 แบบประเมินความเหมาะสมและสอดคล้อง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตอนที่ 3 แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจเรื่องทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และหาค่าสถิติทดสอบที และแบบประเมินทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ และเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 70 ขั้นตอนที่ 4 แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรทักษะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย (x̄) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการวิจัยพบว่า
สรุปผลการวิจัย
จากการวิจัยเรื่องการพัฒนาหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้
1. การศึกษาข้อมูลพื้นฐานด้านทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาครูมหาวิทยาลัย ราชภัฏเพชรบูรณ์ พบว่าข้อมูลพื้นฐานของผู้ตอบแบบสอบถามเมื่อจำแนกตามเพศ เป็นเพศชาย ร้อยละ 41.72 เพศหญิง ร้อยละ 58.28 สังกัดสาขา วิชา ภาษาอังกฤษ ร้อยละ 34.29 สาขาสุขศึกษาและพลศึกษา ร้อยละ 14.29 สาขาภาษาไทย วิทยาศาสตร์ทั่วไป และคณิตศาสตร์ ร้อยละ 17.14 ส่วนข้อมูลประสบการณ์การเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เคยร้อยละ 20.58 และ ไม่เคยร้อยละ79.42 นักศึกษาครูมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และทักษะด้านต่างๆ ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.94, S.D=. 0.68 ) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.69, S.D = 0.71 ) ส่วนทักษะที่นักศึกษามีมาก ที่สุดเรียงจากมากไปน้อยได้แก่ ได้แก่ ทักษะความเข้าใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี ทักษะชีวิตและอาชีพ ทักษะ ภาวะผู้นำทักษะความร่วมมือ ทักษะการทำงานเป็นทีมทักษะการแก้ปัญหาและทักษะการคิด
2. ผลการสร้างและตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 พบว่า มีองค์ประกอบของหลักสูตรประกอบ 8 องค์ประกอบได้แก่ 1) ความเป็นมาและความสำคัญของหลักสูตร 2)หลักการของหลักสูตร**3) จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 4)*เนื้อหาสาระของหลักสูตร5) กิจกรรมการฝึกอบรม 6))ระยะเวลา 7) สื่ออุปกรณ์การฝึกอบรม 8)การวัดและการประเมินผล**และตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน พบว่ามีความเหมาะสม ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ภาพรวมระดับมาก (x̄ = 4.22, S.D=. 0.71 )และมีความสอดคล้องมีค่าความสอดคล้องระหว่าง 0.60-1.00
3. ผลการทดลองใช้หลักสูตรเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 พบว่านักศึกษามีความรู้ความเข้าใจเรื่องทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยหลังการทดลองใช้หลักสูตรเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สูงกว่า ก่อนการใช้หลักสูตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลการประเมินทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่หลักสูตรกำหนด โดยมีคะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไป มีจำนวน 92 คน คิดเป็นร้อยละ 92.00 และมีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 มี 8 คน คิดเป็น ร้อยละ 8.00
4. ผลการประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการใช้หลักสูตรเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ในภาพรวมทั้งในด้านปัจจัย ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต อยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.08, S.D =. 0.70)
คำสำคัญ : การพัฒนาหลักสูตร , ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
The current research study aimed to 1) examine basic information on ASEAN culture of Phetchabun Rajabhat University students, 2) to create and prove the quality of the ASEAN Culture Curriculum, 3) to try out the ASEAN culture curriculum, and 4) to evaluate the satisfaction of Phetchabun Rajabhat University students using the ASEAN Culture Curriculum.
According to research and development process, the study is classified into 4 stages: Stage 1 studying basic information on ASEAN culture of Phetchabun Rajabhat University students. The population is 4,520 students of Phetchabun Rajabhat University; the samples by random sampling are 350. Stage 2 Creating and proving the quality of the ASEAN Culture Curriculum by 5 experts in order to evaluate its suitability and consistency. Stage 3 trying out the ASEAN Culture Curriculum for Phetchabun Rajabhat University students; the sample at this stage consists of 200 students. Stage 4 evaluating the satisfaction of Phetchabun Rajabhat University students. The tools used to collect data in Stage 1 is a paper questionnaire data analysis by frequency, percentage, mean (x̄), and standard deviation (S.D.); Stage 2 is a form of suitability and consistency data analysis by mean (x̄), standard deviation (S.D.), and Index of consistency; Stage 3 a test on ASEAN culture data analysis by mean (x̄), standard deviation (S.D.), and t-test; Stage 4 a student satisfaction questionnaire toward ASEAN Culture Curriculumdata analysis by mean (x̄), and standard deviation (S.D.).
The research findings showed:
According to the research study on “the Development of ASEAN Culture Curriculum for Phetchabun Rajabhat University Students”, the results were summarized as follows:
1. According to basic information on ASEAN culture of Phetchabun Rajabhat University students, the results indicated that the majority, 60.58%, of the respondents were female, 39.42% were male; 22.85% were the fourth year students, 20% were in the 1st-to-3rd year section, and 17.15% were the fifth year students; 35.71% were the students of the Faculty of Education, 28.58% were the students of the Faculty of Humanities and Social Sciences, 14.28% were the students of the Faculty of Management and the Faculty of Science and Technology, 7.15% were the students of the Faculty of Agricultural and Industrial Technology. Meanwhile, the information about the experience of ASEAN culture trainings indicated that 83.42% never participated in any trainings but only 16.58% ever .
However, the need to attain a training on ASEAN culture was high at 92%. The purpose of the training should be to enhance the understanding of ASEAN culture was 88.57. The purpose of having an opportunity to gain knowledge and experience on ASEAN culture was 80%. The purpose of promoting good attitude on ASEAN culture was 60%. In addition, the contents outlined in the curriculum should be about basic knowledge of ASEAN culture as a whole. The required forms or training activities on ASEAN culture were lectures, group discussions, practical exercises, case studies, single and group activities and self-learning from the media. The training materials used in training always should be the manual and/or training documents. The evaluation and assessment used a test to measure knowledge; meanwhile, a questionnaire was used to evaluate the performance. Last, the most required time for training was a period of 3-4 days during the semester break.
Then, the context of learning ASEAN culture of Phetchabun Rajabhat University students leveled high (x̄ = 3.66, S.D=. 0.67). When considering each aspect, it was found that the highest level of the learning context was students were able to provide ASEAN culture information to others with confidence (x̄ = 4.06, S.D=. 0.97); students were able to behave themselves as law enforcers and to follow the rules as well. (x̄ = 4.58, S.D=. 0.57). Apart from this, there were another 19 aspects of the learning contexts—15 aspects leveled moderate.
2. The results of creating and proving the quality of ASEAN Culture Curriculum showed there were 8 components appeared in the curriculum which were 1) curriculum background, 2) curriculum principles, 3) curriculum objectives, 4) curriculum structure, 5) curriculum contents, 6) curriculum duration, 7) media and devices, and 8) evaluation and assessment. Moreover, the overall result of suitability of the curriculum by the 5 experts was high (x̄ = 4.33, S.D=. 0.68 ) and its consistency was between 0.50-0.80.
3. The results of trying out ASEAN Culture Curriculum showed the comparative study on the understanding of ASEAN Culture of Phetchabun Rajabhat University students after using the ASEAN Culture Curriculum was higher than before using the ASEAN Culture Curriculum, statistically significant at the .05 level.
4. The results of the student satisfaction toward ASEAN Culture Curriculum showed the overall level of the satisfaction with factors, process, productivity and impacts was high (x̄ = 4.27, S.D =. 0.67)
Keywords: curriculum development, ASEAN Culture Curriculum
|
|---|
