รายละเอียดข้อมูลโครงการวิจัย
รหัสโครงการวิจัย
PCRU_2559_N020
ปีงบประมาณ
2559
ประเภทโครงการ
แผนงานวิจัย  [รายละเอียด]
ประเภททุน
สร้าง สะสมองค์ความรู้ที่มีศักยภาพ
ชื่อโครงการวิจัย
การถ่ายทอดองค์ความรู้การบริหารจัดการขยะชุมชนเพื่อพัฒนาต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์
ชื่อโครงการวิจัย (EN)
Knowledge of Waste Management to Development for Commercial
นักวิจัย
คณะ/หน่วยงาน
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
บทคัดย่อ
ชุดโครงการวิจัย การถ่ายทอดองค์ความเการบริหารจัดการขยะชุมชนเพื่อพัฒนาต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์การศึกษา ประกอบด้วย 4โครงการ ได้แก่ 1)เทคโนโลยีการกำจัดขยะแบบ ครบวงจรที่เหมาะสมกับองค์กรปกครองท้องถิ่น 2) การพัฒนารูปแบบที่เหมาะสมในการผลิตปุย หมักจากขยะชุมชน 3) การสร้างต้นแบบในการมีทัศนคติและพฤติกรรมที่ดีของประชาชนในการ จัดการขยะ และ 4) การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อมของสถานที่กำจัดขยะ สรุปผลการศึกษาได้ดังนี้

1)   เทคโนโลยีการกำจัดขยะแบบครบวงจรที่เหมาะสมกับองค์กรปกครองท้องถิ่น
โครงการวิจัยเรื่อง เทคโนโลยีการกำจัดขยะแบบครบวงจรที่เหมาะสมกับองค์กรปกครอง ท้องถิ่น มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการบริหารจัดการขยะของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์ และเพื่อถ่ายทอดองค์ความแเละข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นแนวทางการบริหารจัดการขยะด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม ผลการวิจัยพบว่า การเลือก รูปแบบและเทคโนโลยีเพื่อกำจัดขยะต้องคำนึงถึงปัจจัยในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านสภาพพื้นที่ งบประมาณ บุคลากร ด้านนโยบายขององค์กรปกครองท้องถิ่น และที่สำคัญคือการบุ่งเน้นการมี ส่วนร่วมของชุมชน ควรต้องดำเนินการใน 2 ระดับ คือ ในระดับนโยบายขององค์กรปกครอง ท้องถิ่น จะต้องสร้างเครือข่ายความร่วมมือกันในรูปแบบศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยร่วมกันโดยเริ่มตั้งแต่ การวางแผน การสำรวจข้อมูลปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ และการคาดการณ์ ในอนาคต ตลอดจนสัดส่วนหรือลักษณะองค์ประกอบของขยะมูลฝอยทางด้านกายภาพ เคมีและ อื่นๆ การวิเคราะห์ต้นทุนและกำหนดค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะอย่างเป็นธรรม ในระดับของผู้มี ส่วนเกี่ยวข้อง   ได้แก่   ประชาชนในพื้นที่   ดำเนินการในรูปแบบระบบการจัดการขยะมูลฝอยครบวงจรตั้งแต่การรณรงค์ การเก็บรวบรวม การคัดแยก การนำกลับไปใช้ประโยชน์โดยใช้แนวทาง ธนาคารขยะในชุมชน

2)  การพัฒนารูปแบบที่เหมาะสมในการผลิตปิยหมักจากขยะชุมชน
งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาองค์ประกอบและคุณสมบัติของขยะภายในศูนย์ กำจัดขยะ ตำบลท่าอิบุญ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อนำมาใช้ในการผลิตปิยหมักภายในชุมชน นอกจากนี้ ยัง ศึกษาถึงคุณภาพของปิยหมัก ที่ผลิตจากขยะย่อยสลายได้ภายในศูนย์กำจัดขยะตำบลท่าอิบุญ จังหวัดเพชรบูรณ์ ในรูปแบบที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งเปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างคุณภาพของ ปิยหมักที่ผลิต จากรูปแบบต่างๆ ดังกล่าวด้วย โดยกระบวนการที่ใช้ในการทำปิยหมักได้แก่วิธีการ หมักแบบใช้ออกซิเจนโดยกำหนดรูปแบบที่ใช้ในการผลิตออกเป็น2รูปแบบด้วยกันประกอบด้วย รูปแบบที่ 1 โดยใช้เศษอาหาร เศษหญ้าและใบไม้ เศษผักผลไม้ในอัตราส่วน 3:2:1 โดยนี้าหนัก และ ใช้สารเร่งซุปเปอร์ พด.1 เป็นตัวเร่งในกระบวนการหมักปิย และรูปแบบที่ 2 โดยใช้เศษอาหาร เศษ หญ้าและใบไม้เศษผักผลไม้ในอัตราส่วน 3:2:1 โดยนํ้าหนัก และใช้นาหมักชีวภาพจากมะขาม เป็น ตัวเร่งในกระบวนการหมักปิย จากการวิจัยผลดังนี้คือ (1) องค์ประกอบของขยะที่พบมากที่สุด ภายในศูนย์กำจัดขยะ ตำบลท่าอิบุญ จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แก่เศษอาหารและอินทรีย์สาร คิดเป็นร้อย ละ 46.98 รองลงมาได้แก่ขยะรีไซเคิลจำพวกพลาสติก กระดาษ และแก้ว คิดเป็นร้อยละ 22.92 8.69 และ5.37 ตามลำดับ (2) คุณภาพของปิยหมักที่ได้จากการผลิตตามรูปแบบที่ 1 พบว่า ปิยหมักที่ผลิต จากขยะรูปแบบที่ 1 ในวันที่ 15 มีpH มีค่าเฉลี่ย 6.71 ค่าการนำไฟพัา 2.42 ms/cm ค่าอินทรีย์วัตถุมี ค่าเฉลี่ยร้อยละ 38.50 อัตราส่วนระหว่างคาร์บอนต่อไนโตรเจน มีค่าเฉลี่ย 17.80:1 โพแทสเซียมมี ค่าเฉลี่ยร้อยละ 1.15 และไนโตรเจนมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 1.25 มีค่าเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานข้างต้น ทุกพารามิเตอร์ ยกเว้นปริมาณความชื้นมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 33.23 และปริมาณฟอสฟอรัสมีค่าเฉลี่ยร้อย ละ 0.36 เท่านั้นที่พบว่ายังไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานปิยหมักของกรมพัฒนาที่ดิน และในวันที่ 30 พบว่า มีความเป็นกรดและต่าง มีค่าเฉลี่ย 6.60 ค่าการนำไฟพัา 4.34 ms/cm ค่าอินทรีย์วัตถุมี ค่าเฉลี่ยร้อยละ 73.93 โพแทสเซียมมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 1.43 และไนโตรเจนมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 1.13 มี ค่าเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานข้างต้นทุกพารามิเตอร์ ยกเว้นปริมาณความชื้นมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 43.47 อัตราส่วนระหว่างคาร์บอนต่อไนโตรเจนมีค่าเฉลี่ย38.13:1 และปริมาณฟอสฟอรัสมีค่าเฉลี่ยร้อย ละ 0.30 เท่านั้นที่พบว่ายังไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานปิยหมักของกรมพัฒนาที่ดิน ส่วนปิยหมัก ที่ผลิตจากขยะรูปแบบที่ 2ในวันที่ 15 มีความเป็นกรดและต่างมีค่าเฉลี่ย6.22 ค่าการนำไฟพัา1.80 ms/cm และค่าอินทรีย์วัตถุมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 39.80 มีค่าเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานข้างต้น ยกเว้น ปริมาณความชื้นมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 31.40 อัตราส่วนระหว่างคาร์บอนต่อไนโตรเจนมีค่าเฉลี่ย 17.80:1 ฟอสฟอรัสมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 0.19 โพแทสเซียมมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 0.85 และไนโตรเจนมีค่าเฉลี่ยร้อย ละ 0.98 ที่พบว่ายังไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานปิยหมักของกรมพัฒนาที่ดิน ส่วนในปิยหมักที่ผลิตจากขยะรูปแบบที่ 2 ในวันที่ 30 พบว่า มีความเป็นกรดและด่างค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6.45 ค่าการนำ ไฟท่า4.70 ms/cm ค่าอินทรียวัตถุมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 68.40 และไนโตรเจนมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 1.02 มีค่า เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานข้างต้น ยกเว้นปริมาณความชื้นมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 40.80 อัตราส่วน ระหว่างคาร์บอนต่อไนโตรเจนมีค่าเฉลี่ย 45.10:1 ฟอสฟอรัสมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 0.29 และ โพแทสเซียมมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 0.84 ที่พบว่ายังไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานปิยหมักของกรม พัฒนาที่ดิน (3) การเปรียบเทียบของปิยหมักที่ได้รับจากการผลิตทั้ง 2 รูปแบบ พบว่า ปิยหมักที่ ได้รับจากการผลิตตามรูปแบบที่ 1 และ 2 มีคุณภาพแตกต่างกันไม่มากนัก พบว่าปิยหมักที่ได้รับจาก การผลิตตามรูปแบบที่ 1 มีคุณภาพดีกว่าปิยหมักที่ผลิตตามรูปแบบที่ 2เล็กน้อยโดยเฉพาะในส่วน ของค่า ธาตุอาหารหลัก คือ ฟอสฟอรัส (P)โพแทสเซียม (K) และปริมาณไนโตรเจน (N) ทั้งในวันที่ 15และในวันที่ 30 ของการหมัก

3) การสร้างต้นแบบในการมีทัศนคติและพฤติกรรมที่ดีของประชาชนในการจัดการขยะ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติ และพฤติกรรมในการจัดการขยะของ ประชาชน ในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลช้างตะลูด จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเปรียบเทียบปัจจัย ส่วนบุคคลกับพฤติกรรมในการจัดการขยะของประชาชน และเสนอแนวทางเพื่อเป็นต้นแบบต้าน ทัศนคติและพฤติกรรมที่ดีของประชาชนในการจัดการขยะในระดับชุมชน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่แบบสอบถามใช้กับกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 400 คนผลการวิจัยพบว่า การจัดการขยะของ องค์การปกครองส่วนตำบลช้างตะลูดมีรูปแบบการจัดการขยะโดยใช้ธนาคารวัสดุรีไซเคิล ด้าน ทัศนคติของประชาชนเกี่ยวกับการจัดการขยะ พบว่า ประชาชนมีทัศนะคติอยู่ในระดับดี ร้อยละ 54 รองลงมาอยู่ในระดับปานกลางร้อยละ 35 และระดับไม่ดี ร้อยละ 11 ตามลำดับ ในด้านพฤติกรรม การจัดการขยะของประชาชน พบว่า ประชาชนมีพฤติกรรมในการจัดการขยะโดยรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง จากผลการศึกษาดังกล่าวนำมาวิเคราะห์ได้แนวทางต้นแบบทัศนคติและพฤติกรรมที่ดีใน การจัดการขยะมูลฝอย คือ การที่ประชาชนจะมีทัศนคติที่ดีได้นั้น มีแนวทาง ดังนี้ 1. ส่งเสริมด้าน ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดการขยะให้กับประชาชนในชุมชน 2. กระตุ้นความรู้สึก ที่ดีต่อการจัดการขยะ 3. ส่งเสริมกิจกรรม หรือการดำเนินงานที่ท่าให้ประชาชนเห็นถึงคุณค่าในเชิง ปริมาณของขยะ และด้านพฤติกรรมที่ดีของประชาชนในการจัดการขยะ การที่จะพัฒนาให้ ประชาชนมีพฤติกรรมในการจัดการขยะที่ดีได้นั้น ต้องเริ่มต้นจากการมีทัศนคติที่ดีก่อนทั้ง เป็นด้าน ความรู้ ความรู้สึก และนำไปสู่แนวโน้มในเชิงพฤติกรรมในที่สุด

4)  การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อมของสถานที่กำจัดขยะ
งานวิจัยนี้นำเสนอการศึกษาคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อมของสถานที่กำจัดขยะโดยมีพื้นที่ศึกษา ได้แก่ สถานีจัดขยะตำบลท่าอิบุญ และ องค์การบริหารส่วนตำบลช้างตะลูด อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ผลจากการวิจัยพบว่า สถานีกำจัดขยะตำบลท่าอิบุญ มีระยะเวลาการคืนทุนภายใน5 ปีกับอีก10เดือนอัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 15.94มูลค่าปัจจุบัน สุทธิของโครงการ มีมูลค่า 16,767 บาท อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน หรือดัชนีการทำกำไร มีค่า 1.08 และอัตราผลตอบแทนภายในโครงการ โดยทำการคิดลดที่ร้อยละ 7 และร้อยละ 12 โครงการ จะได้ผลตอบแทนในระยะเวลา 10ปี โครงการจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดตามเกณฑ์การยอมรับโครงการ สรุปได้ว่า การลงทุนในสถานีกำจัดขยะตำบลท่าอิบุญ มีความคุ้มค่าของการลงทุนทางด้านการเงินภายในระยะเวลา 10ปี การประเมินคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมคุณค่าจากการใช้ประโยชน์โดยตรง องค์การบริหารส่วนตำบลอื่นๆก็ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อที่ดิน สำหรับการจัดการขยะลดปัญหาขยะล้นเมือง จากการการที่ประชาชนทึ้งขยะ ไม่ถูกที่คุณค่าจากการใช้ประโยชน์โดยอ้อม ลดมลพิษจากการกำจัดขยะที่ไม่ถูกวิธี เช่น มลพิษทางดิน มลพิษทางอากาศ และทางน้ำ ลดแหล่งเพาะพันธุของพาหะนำโรคที่เกิดจากขยะ สามารถลดค่าใช้จ่ายจากการรักษาโรค ส่วนโครงการธนาคารวัสดุรีไซเกิลตำบลช้างตะลูดระยะเวลาการคืนทุน เท่ากับ 1 เดือนอัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ย เท่ากับ 2, 334 มูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการ มีค่าเท่ากับ 2,019,945 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน หรือ ดัชนีการทำกำไร มีค่าเท่ากับ 2.26 อัตราผลตอบแทนภายในโครงการ โดยทำการคิดลดที่ร้อยละ 12 โครงการมีผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดตามเกณฑ์การยอมรับของโครงการ ตามอัตราผลตอบแทนทางการเงิน สรุปได้ว่า โครงการธนาคารวัสดุรีไซเกิลตำบลช้างตะลูด มีผลตอบแทนทางการเงินที่สูง มีความคุ้มค่าของการลงทุนทางการเงินเป็นอย่างมาก ภายในระยะเวลา 10ปี การประเม่นคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมคุณค่าจากการใช้ประโยชน์โดยตรง สามารถลดปัญหาขยะล้นเมือง จากการการที่ประชาชนทึ้งขยะไม่ถูกที่ และกำจัดขยะแบบไม่ถูกวิธี ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อที่ดิน สำหรับการจัดการขยะ คุณค่าจากการใช้ประโยชน์โดยอ้อมสามารถลดมลพิษจากการกำจัดขยะที่ไม่ถูกวิธี เช่น มลพิษทางดินอากาศ น้ำ และลดแหล่งเพาะพันธุของพาหะนำโรคที่เกิดจากขยะสามารถลดค่าใช้จ่ายจากการรักษาโรคต่างๆที่เกิดจากขยะ เป็นต้น
คำสำคัญ
ทัศนคติ,พฤติกรรมในการจัดการขยะ,ช้างตะลูด,เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม,สถานที่กำจัดขยะ,ความคุ้มค่า
สถานะโครงการ
ดำเนินการเสร็จสิ้น
บทคัดย่อ
--
เล่มรายงาน
ดาวน์โหลด เปิด : 149 ครั้ง:
เปิดดู
292 ครั้ง

เอกสารเพิ่มเติม
แสดง 1 ถึง 1 จาก 1 ผลลัพธ์
#ไฟล์เอกสารรายละเอียด
1 ประกาศทุนฯ 59  (โหลด : 80 ครั้ง)